การบรรลุผลที่ยิ่งใหญ่และการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจาก “ภาพนิมิต” คุณเชื่อหรือไม่ คุณรู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้คนนับล้านกำลังให้ความสำคัญกับ “ภาพนิมิต” ต่อตนเองและโลกในมุมมองใหม่ พวกเขาเชื่อว่าเขาจะกลายเป็นอย่างที่เขาคิด ภาพนิมิตหรือการมองเห็นภาพในใจ มีความสำคัญกับเรามากขนาดนั้นเชียวหรือ บทความนี้จะนำเสนอโครงการและงานวิจัยที่น่าสนใจ
เมื่อ 30 ปีก่อน องค์การสหประชาชาติ (UN) ร่วมกับ บราห์มา กุมารี ได้จัดทำโครงการ “Global Visions of a Better World…ภาพนิมิตของโลกที่ดีกว่า ”เพื่อขอรับบริจาคความคิดเห็นจากผู้คนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ว่าเราต้องการเห็นโลกของเราเป็นเช่นไร การแสดงความคิดเห็นนี้ให้สิทธิและความสำคัญเท่าเทียมกันของแต่ละความคิดเห็น โดยไม่เลือกเพศ วัย สถานภาพ หรือชนชั้นวรรณะใดๆ ขอเพียงเป็นความคิดเห็นเชิงบวกที่ระบุว่าอยากให้โลกเป็นอย่างไร ไม่ใช้คำว่า “ไม่อยากให้เป็น…” และนำเสนอผ่านข้อความบรรยาย หรือวาดภาพก็ได้...ผลปรากฏว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จและได้รับความร่วมมืออย่างดีมาก คำตอบของทุกคนออกมาใกล้เคียงกัน สรุปใจความได้ว่าทุกคนต้องการให้โลกของเรามีความสงบสุข ความรัก ความเคารพซึ่งกันและกัน ความสอดคล้องกลมกลืน ชีวิตความเป็นอยู่ดี มีสุขภาพอนามัย สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดี...นับว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นให้คนทั่วโลกหันมาตื่นตัวและใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นไปตามที่เขามองเห็น โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงภายในตนเองก่อน...When we change, The world changes
หลายคนอาจสงสัยว่าแค่ภาพนิมิตจะสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างกัน ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ผลการวิจัยมากมายออกมารองรับว่ามันสามารถเป็นไปได้จริง สำหรับเรื่องนี้ทาง บราห์มา กุมารี เองก็ได้ทำโครงการ “Seeing into Being…การเห็นสู่การเป็น” เพื่อยืนยันการมีอยู่ของโลกใหม่ (ยุคทอง) ต่อมนุษยชาติ เพราะคนในโลกปัจจุบันนี้ต้องการให้มีภาพของโลกใหม่ให้เห็นอย่างชัดเจน แม้ว่าผู้คนจำนวนมากกำลังใช้เวลาอยู่กับการตำหนิติเตียน แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ปรารถนาจะเห็นโลกใหม่อย่างแรงกล้า คำถามคือเราสร้างอนาคตของเราเองได้ไหม? ยุคทองเป็นไปได้จริงหรือ? ชุมนุมขนาดใหญ่จะสามารถร่วมกันสร้างอนาคตที่เป็นบวกได้หรือไม่? มีผลการวิจัยทางด้านจิตสำนึก (Consciousness Research) มากมายที่ยืนยันในสิ่งนี้
1. ผลของยาหลอก (Placebo Effects)
มีการทดลองกับผู้ป่วยสองกลุ่ม กลุ่มแรกรักษาด้วยยาจริง และกลุ่มที่สองรักษาด้วยยาหลอก ปรากฏว่าผลของยาหลอกให้ผลเหมือนการรักษาด้วยยาจริง ผู้ป่วย 2 ใน 3 เชื่อว่าการรักษานี้มีประสิทธิภาพ แม้ว่าความจริงยาจะเป็นแค่ก้อนน้ำตาลก็ตาม ยิ่งกว่านั้นบางคนรู้สึกว่ายาหลอกได้ผลมากกว่ายาจริงด้วยซ้ำ ปัจจุบันการแพทย์ให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบฮอร์โมน และระบบภูมิคุ้มกัน แต่มีอีก 2 ระบบที่ถูกมองข้าม คือ ระบบการรักษาตนเอง และระบบความเชื่อ ซึ่งทั้งสองทำงานร่วมกัน ระบบการรักษาตนเองจะระดมทรัพยากรของร่างกายเพื่อต่อสู้กับโรคภัย โดยระบบความเชื่อจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบรักษาตนเอง ข้อสรุปนี้ก็คือพลังของการชี้นำเชิงบวก นำความคิดของสติปัญญา และจากสติปัญญาไปสู่ร่างกาย และไปยังเป้าหมายที่เป็นบวก
2. ผลของความคาดหวัง (Pygmalion Effects)
มีการทดลองกับอาจารย์ โดยอาจารย์ได้รับข้อมูลว่านักเรียนบางกลุ่มมีศักยภาพที่สูงมาก ในขณะที่บางกลุ่มไม่มี โดยที่อาจารย์ไม่ทราบว่านักเรียนที่มีศักยภาพสูงเหล่านั้นถูกสุ่มเลือกมา นักเรียนทุกกลุ่มแท้จริงแล้วมีศักยภาพที่เท่ากัน แค่ถูกนำมาตั้งชื่อว่ากลุ่มระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น ผลปรากฏออกมาอย่างรวดเร็วว่าไม่ใช่จากสติปัญญาของเด็ก แต่เกิดจากความคาดหวังของอาจารย์ เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในหมู่นักเรียนก็พัฒนาขึ้น ความแตกต่างที่เห็นชัดขึ้น เมื่อนักเรียนระดับสูงแสดงให้เห็นผลงานที่ดีกว่ากลุ่มอื่นในทางปฏิบัติ ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ผลจากการทดลองนับร้อยๆ ครั้งได้แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์นี้ การวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์จากภาพลักษณ์ที่ผู้อื่นมอง ไม่เพียงแต่ระดับของผลงานที่เปลี่ยนไป แต่ทัศนคติต่อตนเองที่หยั่งรากลึกก็เปลี่ยนแปลงด้วย ผลของความคาดหวังสามารถเกิดขึ้นได้โดยใช้เวลาเพียง 15 นาที และมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องไปตลอดชีวิต คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของการศึกษาพิกมาเลียนทำให้เห็นถึงผลของการปฏิสัมพันธ์กันของมนุษย์ เข้าใจว่าตนเองเป็นผลผลิตของสังคม นั่นคือการยอมรับว่ามนุษย์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปิดรับการพัฒนาใหม่ๆ และเป็นผลลัพธ์ของจินตนาการและจิตใจ ตัวเราและอนาคตของเราถูกสร้างขึ้นได้ด้วยจินตนาการจากการเห็นสู่การกลายเป็น
3. บทสนทนาเชิงลบภายใน (Inner Dialogue of Cynicism)
จากการสนทนาเชิงลบภายในตัวบุคคล กลุ่มองค์กร และสังคมทั้งหมด สรุปได้ว่าสังคมปัจจุบันใช้ชีวิตท่ามกลางการสนทนาที่เป็นลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ รายงานที่ว่าเด็กๆ สมัยนี้เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีบทสนทนาในบ้านเป็นลบถึง 90% เช่น ห้ามทำอะไร สถานการณ์แย่แค่ไหน ใครทำอะไรผิด แล้วฉันจะตำหนิใคร ฯลฯ เราต้องตระหนักว่าพื้นฐานของมนุษย์ขึ้นอยู่กับบทสนทนาภายใน จิตใจของเราถูกแวดล้อมด้วยเรื่องราวครอบครัว โรงเรียน วัด ละคร และวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นตัวกำหนดมุมมองประสบการณ์ และจินตนาการของความเป็นจริง ฉะนั้นเราจึงต้องตั้งคำถามว่าเราควรมองอะไรให้สิ่งนั้นกลายเป็นความจริงเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุดของมนุษย์
4. ผลของภาพเชิงบวกที่เป็นแรงผลักดันต่อวัฒนธรรม (Dynamic Force in Culture)
ในการศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรมชาวตะวันตก โดยนักสังคมวิทยาชาวดัตช์ Fred Polak ได้ยืนยันว่าภาพลักษณ์ที่เป็นบวกต่ออนาคตเป็นแรงผลักดันอย่างเดียวสำคัญที่สุดในการเข้าใจวิวัฒนาการของวัฒนธรรม “ความรุ่งเรืองและการตกต่ำในภาพของอนาคต จะนำหน้าหรือนำมาซึ่งความรุ่งเรืองหรือความตกต่ำของวัฒนธรรม ตราบใดที่ภาพของสังคมนั้นเป็นบวกและเฟื่องฟู ดอกไม้ของวัฒนธรรมก็จะผลิบาน เมื่อภาพนั้นเริ่มเสื่อมโทรมและร่วงโรยไป ภาพนั้นก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน” มีตัวอย่างของชนเผ่าบางเผ่าที่ยอมแพ้และปล่อยให้ตนเองสูญสิ้นไปเมื่อภาพของอนาคตนั้นมืดมน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณเชื่อไหมว่าภาพนิมิตมีความสำคัญจริงๆ หากฉันถามคุณว่า “ลึกๆ แล้วคุณมีความปรารถนาที่จะเห็นโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมไหม แล้วภาพโลกที่ดีของคุณเป็นอย่างไรล่ะ” คุณจะตอบเช่นไร...
ที่ฉันเขียนมาทั้งหมดเพื่อต้องการบอกคุณว่า โยคะคือการเชื่อมโยง...ทุกวันนี้คุณเป็นเช่นไร ก็เป็นผลมาจากการที่คุณเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณแบบนั้น คุณภาพของความคิด ทัศนคติที่คุณมี การกระทำของคุณที่แสดงออกมาเป็นเช่นไร คุณภาพของชีวิตคุณก็เป็นแบบนั้น...โลกภายในคุณเป็นเช่นไร โลกภายนอกรอบตัวคุณก็เป็นเช่นนั้นล่ะ
“Seeing into Being การเห็นสู่การเป็น”...สำคัญที่การเห็น ว่าคุณได้เห็นตัวเองชัดเจนดีหรือยัง รู้จักตนเองจริงๆอย่างแท้จริงหรือไม่ ราชาโยคะ คือ โยคะของสติปัญญา เป็นปัญญาที่พาเราเดินทางกลับเข้าไปหาตัวตนดั้งเดิมภายในที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่เคยมี สิ่งเคยเป็น และรื้อฟื้นเอกลักษณ์ความดีงามของเราขึ้นมาอีกครั้ง เพียงอาศัยพลังของความสงบเงียบที่ลึกล้ำ เชื่อมโยงกับแหล่งแห่งพลังทางจิตอันบริสุทธิ์สูงสุด ล็อคของความทรงจำเกี่ยวกับตัวตนดั้งเดิม สภาวะที่สมดุล เต็มสมบูรณ์พร้อม ก็จะปรากฏออกมาให้กลายเป็นธรรมชาติของคุณ
เรื่องโดย : โอม ชานติ
ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิ บราห์มา กุมารี ราชาโยคะ โทร. 0-2573-8242, 08-6448-6700