1. การนับแคลอรี่
แทบทุกคนที่เคยไดเอทต้องเคยถูกสอนว่า “ในวันหนึ่งๆ ให้คุณรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำกว่าที่ใช้ไป จะทำให้น้ำหนักลดลง”
บวกกับข้อเท็จจริงว่า...
- โปรตีน ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัม
- คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัม (เท่ากับโปรตีน)
- ไขมัน จะให้พลังงานสูงสุดคือ 9 แคลอรี่ต่อกรัม
ทำให้ผู้คนจำนวนมากคิดว่า การงดเว้นบริโภคไขมัน จะเป็นหนทางไปสู่การจำกัดแคลอรี่ที่ได้ผล!
หากจะวัดกันที่แคลอรี่ โอรีโอคุกกี้ 2 ชิ้นมี 90 แคลอรี่ ซึ่งเทียบเท่ากับผักกาดหอมราวๆ 2 หัวใหญ่ หากแต่โอรีโอ คุกกี้ ที่ผลิตมาจากเครื่องจักรนั้น อุดมไปด้วยแป้ง น้ำตาล และไขมันทรานส์ ไม่มีพลังชีวิต จึงสามารถเก็บไว้ได้ หลายปีก็ยังคงสภาพเดิม และนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังให้โทษกับร่างกายและทำให้อ้วนได้
ในทางตรงกันข้าม ผักกาดหอมมาจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารต้าน อนุมูลอิสระหลายชนิด เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและเอนไซม์ จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายและไม่ทำให้อ้วน
ความจริงแล้วอาหารที่เราทานมีความหมายมากเกินกว่าจำนวนแคลอรี่ ทุกๆ คำที่ตักใส่ปากเปรียบได้กับ “ข้อมูล” หรือ “โปรแกรม” ที่ถูกป้อนใส่ร่างกาย และมีการสื่อสารกับยีน สิ่งที่เราทานมีผลต่อการเพิ่มหรือลด โอกาสของการเกิดโรค ช่วยบรรเทาและรักษาโรคที่กำลังเผชิญอยู่ รวมถึงผลกระทบต่ออารมณ์ ความคิด และระดับพลังงานด้วย
ตัวอย่างเช่น หากคุณรับประทานอาหารเช้าที่ประกอบไปด้วย:
สมูธตี้ที่ทำจากผักใบเขียวเกษตรอินทรีย์ ผสมด้วย อโวคาโด แฟลกซีด ขิงและนมอัลมอนด์
พร้อมกับไข่ลวก 1 ฟอง
ระดับน้ำตาลในเลือดที่คงที่จากการทานอาหารครบหมู่ จะทำให้คุณจะรู้สึกมีพลังงาน สมองปรอดโปร่ง และอารมณ์ดีต่อเนื่อง และคุณจะเริ่มหิวอีกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง
ในทางตรงกันข้าม หากคุณเลือกที่จะทานกาแฟ ใส่ครีมเทียม และน้ำตาล พร้อมกับโดนัทรสชอคโกแลต เคลือบน้ำตาลที่หอมหวานอีกสักชิ้น แม้ว่าแคลอรี่อาจจะน้อยกว่าอาหารเช้าแบบข้างต้น แต่เมื่อผ่านไปสัก ชั่วโมงเศษ ระดับน้ำตาลที่พุ่งปรี๊ดภายหลังจากการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลเช่นนี้ก็จะตกฮวบลง ผลที่ตามมาก็คือ คุณอาจรู้สึกจิตตก สมองตื้อ แถมเริ่มหิวอีก จนต้องรีบไปหากาแฟมาเติมพลังอีกสักแก้วแล้ว (ยังไม่นับถึง ความรู้สึกท้องอืดหรือมีลมในท้อง อันเนื่องจากการขยายพันธ์อันรวดเร็วของเหล่าจุลินทรีย์ตัวร้าย ในลำไส้ ที่จะส่งผลไปถึงภูมิคุ้มกันที่ตกต่ำลง หรืออาจก่อให้เกิดสิวหรือผื่นแพ้ที่ผิวพรรณ รวมถึงอาการไม่พึง ประสงค์อื่นๆ ได้อีกด้วย)
ยังไม่หมดแค่นี้ การที่คุณจำกัดแคลอรี่ให้น้อยมากๆ ร่างกายจะเข้าสู่โหมด “อดอาหาร” อันจะส่งผลให้ระบบการ เผาผลาญทำงานลดลง ผลที่อาจได้รับคือ ทั้งไขมันและกล้ามเนื้อลดลง น้ำหนักจึงลดลงในช่วงแรก หากแต่คุณ
จะไม่สามารถจำกัดแคลอรี่เช่นนี้ได้ในระยะยาว และเมื่อคุณทนไม่ได้และล้มเลิก คุณมีโอกาสสูงมากที่จะกลับ
ไปอ้วนกว่าเดิม แต่ที่แย่กว่าคือ ได้รับไขมันมาเพิ่มแต่ไม่ได้กล้ามเนื้อคืน
2. น้ำหนักจะลดได้ จะต้องออกกำลังกายอย่างหนัก
มีผู้คนจำนวนมากที่สงสัยว่า เมื่อออกกำลังกายอย่างหนัก เช่นวิ่งมาราธอน นอกจากน้ำหนักจะไม่ลดแล้ว ยังขึ้นอีกต่างหาก!
สาเหตุหนึ่งคือ เมื่อคุณออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล
ซึ่งเป็นฮอร์โมน ความเครียด และหากคุณยังคงทำต่อเนื่องด้วยความถี่ที่มากเกินไป
ระดับคอร์ติซอลที่ล้นเกินนี้เอง จะเริ่ม ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่ม ไขมันพอกรอบเอว
รวมถึงนอนไม่หลับ จิตตก และระบบย่อยอาหารบกพร่องได้
ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเท่านั้น จึงจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การลดน้ำหนักประกอบด้วย การดื่มเชค รายการอาหารที่ห้ามทาน และที่สามารถทานได้
คุณเคยลองวิธี (หรือสูตร) ไดเอทมามากกว่าหนึ่งแบบหรือไม่ ?
แต่ละวิธี (หรือสูตร) นั้น คุณทำได้สำเร็จหรือไม่ ?
สาเหตุหนึ่งที่ไดเอทส่วนใหญ่ไม่ได้ผลเป็นเพราะการจำกัดอาหาร เรามักสามารถทำตามได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ความอยากรับประทานอาหารที่อยู่ในรายการที่ห้ามทานจะเกิดขึ้น จนในที่สุดทนไม่ได้ ต้องทานอาหารที่อยากทาน และคุณก็ล้มเลิกความตั้งใจในการลดน้ำหนักไปโดยปริยาย
ความจริงคือ ไม่มีอาหารใดที่ดีสำหรับทุกคนในโลก และไม่มีอาหารใดที่ไม่ดีสำหรับทุกคนเช่นกัน (“อาหาร” ในที่นี้ผู้เขียนหมายความถึงที่เป็น “เรียลฟู๊ด” คือเป็นอาหารธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านกรรมวิธี หรือผลิตมาจาก เครื่องจักร) แม้ในช่วงแรกของการลดน้ำหนัก มีความจำเป็นต้องงดอาหารบางอย่าง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เช่น งดอาหารที่อาจแพ้ หรือเพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเองจากการอักเสบเรื้อรัง แต่เมื่อพ้นช่วง ระยะแรกแล้ว เราจะค่อยๆ เรียนรู้ร่างกายตัวเอง ว่าเหมาะกับอาหารประเภทใด และใช้ความอยากอาหาร (food craving) เป็นตัวช่วยให้ได้เรียนรู้ร่างกายอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
4. มุ่งเน้นแต่ปรับอาหารโดยที่ไม่สนใจไลฟ์สไตล์
จริงอยู่ที่อาหารเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อรูปร่างคุณ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า วิถีการดำรงชีวิตมีความสัมพันธ์ กับทั้งชนิดของอาหารและปริมาณที่คุณเลือกทานอีกด้วย
การนอนหลับ ระดับความเครียด และการออกกำลังกาย ถือเป็นไลฟ์สไตล์หลักๆ ที่คุณควรพิจารณา ว่าส่งผลต่อ การรับประทานอาหารของคุณอย่างไร ตัวอย่างเช่น เมื่อเราอดนอน จะส่งผลให้มีฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความหิวในระดับที่สูง และในขณะเดียวกันฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่ง สัญญาณว่าอิ่มจะอยู่ในระดับต่ำ หนำซ้ำยังมีฮอร์โมนความเครียดพ่วงด้วย ผลที่ตามมาคือเราจะรู้สึกหิว มากกว่าปกติ และอยากคว้าอาหารจำพวกจั๊งค์ฟู๊ด หรืออาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์ใส่ปากเสียด้วย หนำซ้ำร่างกายจะมีระดับการเผาผลาญที่ต่ำกว่าปกติ และกักเก็บไขมันไว้ให้อย่างดีเยี่ยม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องหลีกเลี่ยง
5. ผู้เขียนสูตรไดเอททานอย่างไร คุณต้องทานตามอย่างนั้นจึงได้ผล
มีคำกล่าวว่า “One person’s food can be another person’s poison.”
หรือ อาหาร(ที่ดี)กับคนหนึ่ง อาจเป็นยาพิษของอีกคนก็ได้
ลองนึกภาพดูนะคะ ถ้าการทานมังสวิรัติ หรือยิ่งกว่านั้น การทานแบบรอว์ฟู้ด (ที่อาหารทุกชนิดจะไม่ผ่าน ความร้อนเกินกว่า 40-49 องศาเซลเซียส) เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อสุขภาพของคนหนึ่ง... คุณคิดว่าจะดีต่อสุขภาพของชนเผ่าเอสกิโมที่อาศัยอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยน้ำแข็ง อย่างอลาสก้าด้วยหรือไม่?
หรือหากพบว่าการทานอาหารแบบหนึ่งนั้นทำให้สุขภาพของคนหนึ่งดีมาก ในขณะที่เขาอายุ 45 ปี คุณคิดว่าอาหารแบบเดียวกันนี้จะดีต่อเด็กวัย 5 ขวบหรือไม่?
อาหารแบบชาวมองโกลที่เน้นหนักไปในทางปศุสัตว์ หรือการรีดจากฝูงสัตว์อย่าง เนื้อ มัน ไข เครื่องใน หนัง เลือด นม และเนย จะดีต่อสุขภาพคนไทยอย่างเราหรือไม่ ?
อาหารที่ดีที่สุดสำหรับคุณผู้ชาย จะดีที่สุดสำหรับคุณผู้หญิงเสมอไปหรือ?
คำตอบคือ อาหารเป็นสิ่งที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพศ อายุ ฤดูกาล สภาพถิ่นที่อยู่อาศัย ตลอดจนถึงการค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ของนักวิชาการ นอกจากนี้ ร่างกายแต่ละคนยังมีความแตกต่างกัน และจะ มีปฏิกริยาต่ออาหารชนิดเดียวกันแตกต่างกันไปอีกด้วย (คุณอาจนึกถึงเพื่อนที่ทานคล้ายๆ กับคุณ แต่ทำไม เพื่อนไม่เห็นอ้วนเลยล่ะ)
ดังนั้น แต่ละคนจะมีวิธีการลดน้ำหนักที่เหมาะสมและได้ผลกับตัวเองที่สุด และสิ่งแรกที่คุณจะต้องค้นหาให้ได้คือ อาหารที่ดีและเหมาะสมกับร่างกายและสุขภาพของคุณที่สุด
ขอบคุณผู้เขียน
คุณสุชาวดี เฉลิมวงศาเวช หรือครูอุ้ม ผู้เป็นครูอัษฏางคโยคะชาวไทยคนแรกที่ได้รับใบอนุญาตจากท่าน ศรีปัตตาภิ โชอิส ที่เมืองมัยซอร์ เมื่อ 2549 และยังได้จบหลักสูตรอบรมการโค้ชสุขภาพองค์รวมจากสถาบัน Institute for Integrative Nutrition ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปัจจุบันครูอุ้มนอกจากจะสอนโยคะทั้งในและต่างประเทศ ยังเป็นโค้ชสุขภาพที่มีลูกค้าจากทั่วโลก โดยยึดหลัก Bio-individuality นั่นคือร่างกายแต่ละคนนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง จึงควรเลือกอาหารและวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดในการบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพ หากผู้ใดสนใจสามารถรับข้อมูลที่ทันสมัยด้านสุขภาพจากครูอุ้มได้ที่เฟซบุ๊กเพจ
“อ้วนไป ทำไงดี by Health Guru ครูอุ้ม” (www.facebook.com/endoffatness/)
หรือนัดปรึกษา (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ได้ทางเว็บไซต์ www.iamhealthytoday.com
หรืออีเมล์ sasha@iamhealthytoday.com