การกลับมาที่กรีซคราวนี้ เหมือนเดินทางกลับบ้าน บ้านที่อยู่ภายใน เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองดีแล้ว เคลียปมชีวิตต่างๆในชีวิตได้แล้ว แต่จริงๆแล้วเป็นการกลบปม สร้างความแข็งแรงให้กับตัวเอง เพื่อที่จะได้ดูเหมือนเราแข็งแรงและเด็ดเดี่ยว แต่ภายใต้ความเข็มแข็งนั้นมีเด็กเล็กๆคนหนึ่งกำลังร้องให้ รอให้ใครบางคนมาพาเขาออกมา มาให้ผู้คนรู้จักเขา เขาเก่งเขาฉลาด
ตั้งแต่เดือน มิถุนายนที่ผ่านมา ผมทำงานแบบไม่หยุดพัก ต้องเดินทางกว่าสิบประเทศในปีเดียว ทั้งสอน ทั้งเรียน พยายาม จัดตรางงานตัวเองจนแทบจะไม่มีเวลาไหนว่างเลย ถ้าไม่เดินทางก็เตรียมงาน ทำโปรเจคต่างๆทั้งYoutube Chanel, จัดงานสอน ทำ โปสเตอร์ โปรโมท workshop ของตัวเอง รวมถึงหาข้อมูลในการทำYoga Tour และอื่นๆอีกมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแม่โปรเจ็ค พอเห็นมีเสาร์อาทิตย์ไหนว่างก็จะต้องหาอะไรมาใส่ สำหรับตัวผมเองนั้น ไม่ได้เห็นว่าตัวเองทำงานหนักและสนุกกับงานที่ทำ แต่คนรอบข้างจะมองว่าผมยุ่งจนไม่มีเวลา โดยเฉพาคุณสามีจะบ่นอยู่ตลอดเวลาว่าปีนี้เราไม่มีเวลาให้กันเลย
พอผมตัดสินใจที่จะแยกตัวออกมาสอนในสไตล์ของตัวเอง สอนเป็นYin Transfoms งานก็เริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง เรียกว่าวิ่งจากแอร์พอร์ตหนึ่ง ไปแอร์พอร์ตหนึ่ง กลับมาพักที่บ้านที่เชียงใหม่สองสามวันก็บินไปสอนอีกแล้ว จนชีวิตเสียสมดุลย์ ร่างกายเริ่มประท้วง และมีอาการเจ็บที่ข้อศอกขวา หรือที่เรียกว่า Goft Elbow เหมือนกับกล้ามเนื้ออักเสบชนิดหนึ่ง ก็นั่งสงสัยว่า มันเจ็บขึ้นมาได้ยังไงทั้งทั้งที่ ตัวเองไม่ได้เล่นก๊อฟซักหน่อย และไม่ได้ใช้ข้อศอกอะไรมากมาย ฝึกโยคะหนักๆก็ไม่ได้ฝึก เพราะไม่มีเวลา ทำไมอยู่อยู่มันเจ็บขึ้นมาได้ แต่ในใจก็คิดว่า เราคงไปกระแทกโดนอะไรซักอย่าง เจ็บมาเป็นเดือนๆ มันก็ไม่ยอมหายสักที แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมาเจ็บที่ข้อนิ้วโป้งมือซ้าย เส้นเอ็นอักเสบอีก ทั้งทั้งที่ไม่ได้ไปทำอะไรกะมันเลยอยู่มันก็เกิดเจ็บแแป๊ปขึ้นมา ทำDown Dog ลงน้ำหนักที่มือไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอเพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็คงหายไปเอง แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่หาย ที่นี้พอตอนหลังคิดว่าต้องหาหมอแล้ว กลับไม่มีเวลา เพราะต้องเดินทางสอนตลอด แขนทั้ง 2 ข้างก็ไม่ค่อยปกติ แต่ก็ต้องสอนและต้องใช้ข้อมือ จนไปสอนที่เมืองกวางเจากับครูดัชชี่ ครูดัชชี่บอกว่าเขาก็ปวดไหล่เหมือนกันไปหาหมด หมอบอกว่าเป็นเอ็นอักเสบต้องกินยาแก้ปวด แกให้ผมลองกินยาแกดูปรากฎว่าหายปวด ก็เลยกินยาแก้ปวดคุมเอาจนกลับมาถึงเมืองไทยก็ยังไม่มีเวลาไปหาหมอ เพราะมันไม่มีเวลาเลยจริงๆ พอจบจากสอนที่สวิสวันรุ่งขึ้นก็บินมาเรียนต่อกับครู Angela Farmer และ ครู Victor van Kooten ที่กรีซ
งานนี้บอกได้เลยว่าร่างกายบอบช้ำมาก เพราะเราไม่มีเวลาที่จะดูแลตัวเองบอกตรงๆว่าไม่รู้ตัวว่า ตัวเองเสียสมดุลย์ จนกระทั่ง ได้มาเรียนที่กรีซไม่รู้เป็นอย่างไรแต่เหมือนครูจะเน้นเรื่อง ไหล่เป็นพิเศษ ตอนที่ครูสอนให้เปิด เนื้อเยื่อที่สะบักไหล่ โดยให้เพื่อน ช่วยเอามือ จับที่ต้นแขน อีกมือหนึ่ง ดึงที่สะบักไหล่เบาๆ แล้วค้างไว้ รอให้เนื้อเยื่อมันคลายตัว ผมก็รู้สึกว่ามันมีคลื่นของอารมณ์ที่มันออกมาจากสะบักไหล่แต่มันติดขัด เหมือน เหมือนมีก้อนอะไรก็ไม่รู้อยู่ใต้สะบักไหล่ มันรู้สึกเจ็บๆขัดๆ รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ เหมือนมีความเก็บกด ที่ซ่อนอยู่ภายในมันอยากจะระบายออกมา แต่มันไม่ยอมออก ครู Angela เดินมา นั่งข้างหลัง แล้วให้ผมพิงตัวไปที่อกแก แล้วแก แล้วแกเอามือโอบหัวไหล่ผมแล้วดึงไปด้านหลังเบาๆ เท่านั้นแหละ น้ำตาลูกผู้ชายปล่อยโฮออกมา สะอึกสะอื้น เหมือนเป็นเด็กๆ อีกครั้ง คำตอบทุกอย่าง รับรู้ได้ทันทีว่ามันมาจากอะไรอะไรขึ้น ภาพเด็กชายตัวผอมๆคนนึง ที่รู้สึกว่าเขาไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีตัวตนเขาแอบซ่อนอยู่ใต้สะบักไหล่ ทำให้ผมเห็นทันทีว่าอะไรเป็น ตัว driveให้เราทำงานแบบไม่มีเวลาให้ตัวเองแบบนี้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้สะบักไหล่ มันคือความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เป็นความรู้สึกตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็ก ตอนเป็นเด็กผมเป็นคนไม่เอาไหน รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย พอมาเป็นครูสอนโยคะก็รู้สึก ตัวเองมีคุณค่ามีประโยชน์ และเป็นที่รัก ความรู้สึกจากคนที่ไม่มีค่าเริ่มเปลี่ยน แต่พอเมื่อ ปีแล้วเริ่มรู้สึกว่าการสอนหยินของเราเริ่มไม่ได้รับการตอบรับนักเรียนหดหายหมดจน จนผมเปลี่ยนแนวการสอนมาเป็น Yin Transforms ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี งานเข้าจนแน่นเอียดพอใครติดต่อมาก็รับหมดเพราะเคยตกมาแล้วเลยไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีก พอเห็นว่ามีเสาร์อาทิตย์ไหนว่างก็จับงานยัดทันที่ แถมยังมีงานที่นอกเหนือจากการสอนยังมีโปรเจ็คอื่นๆอีกเยอะ จนทำให้ไม่มีเวลาให้ตัวเองและสามี จึงเป็นความกดดันที่ ทับถมอีกชั้นนึง ปมอะไรที่ทำให้ผมต้องทำตัวยุ่งขนาดนี้??? คำตอบคือกลัวไม่มีค่า ไม่กล้าที่จะอยู่เฉยๆ เพราะถ้าไม่ได้ทำอะไรจะรู้สึกเหมือนไม่มีคุณค่า แต่พอได้ทำงานได้เป็นประโยชน์ มันเลยเป็นสิ่งที่เติมเต็มในชีวิต จนลืมมองดูตัวเอง ลืมที่จะรัก และดูแลตัวเอง ไม่เคยพัก ไม่เคยได้นั่งดูทีวีมานานแค่ไหนแล้ว จะให้ไปนั่งชิวๆ ดื่มกาแฟ ชมนกชมไม้ไปวันวัน กลับทำไม่เป็น เวลาไปสอนต่างประเทศก็ไม่ได้คิดอยากจะเที่ยวเพราะ มันไม่ได้จื่นเต้น รู้สุกว่า งานสอนตื่นเต้นกว่า ถ้าไม่สอน ก็เตรียมงานบ้าง ตอบคำถามนักเรียนบ้าง ทำเครื่องประดับบ้าง สั่งของมาขายบ้าง จนร่างกายเริ่มประท้วง แสดงอาการต่างๆ เพื่อให้หยุด กลับมาดูแลตัวเอง ให้มีโอกาศได้ให้ความรัก กับตัวเอง
ความสัมพันธ์ ระหว่างจิตและร่างกาย มันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เกิดอะไรขึ้นที่จิตมันก็สะท้อนมาที่ร่างกาย อะไรเกิดขึ้นที่ร่างกายมันก็สะท้อนมาที่จิต ถ้าเราสังเกตุอาการของกาย เราก็อาจจะเข้าใจภาวะของจิตได้ บางที่เราไม่รู้หรอกว่า ภาวะของจิตเราเป็นอย่างไร เพราะเราอยู่กับมันจนคุ้นชิน จนมันเป็นธรรมชาติของเรา ในคลาสโยคะเกือบทุกคลาส เราจะเห็นพฤติกรรม ของจิต ที่แสดงออกสู่การฝึกอาสนะ ลองคิดดูว่าทำไมเวลาเราฝึกโยคะ แล้วเราผลักดันตัวเองให้ไปได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่ออะไร?? บางคน รู้สึก ว่าถ้าเราทำท่าบางอันไม่ได้เราก็จะต้องเอาชนะ ต้องทำจนได้ไม่ว่าจะต้องบาดเจ็บกี่ครั้งก็ตาม เพื่ออะไร??? แล้ว เราปฏิบัติตัวอย่างนี้หรือป่าวในชีวิตประจำวัน??? สิ่งที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมานี้ไม่ใช่เพื่อตัดสินว่าคุณ ฝึกโยคะแบบผิดๆ แต่ เพื่อ ให้เรากลับไปมองชีวิตผ่านการฝึกโยคะของเรา ถ้าเราดูดีๆ มันจะเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นบางสิ่งบาอย่างเมื่อเราเห็นแล้วก็ขึ้นอยู่กับเราว่า เราอยากเปลี่ยนหรือไม่ เมื่อเรามีสติ ปัญญาก็เกิด ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะเลือกประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนจะต้องไปถึงนิพานในชาตินี้ เพียงแต่ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ คลองชีวิตด้วยสติ แล้วเราก็จะเข้าถึงปัญญาเองในที่สุด...... ครูเล็ก ศิริรัชต์