วัยทอง กับสมดุลแห่งกาย ใจ และจิตวิญญาณ

เมื่อพูดคำว่า “วัยทอง” ที่มีความหมายถึงวัยของผู้หญิง และผู้ชายที่มีอายุในช่วง 40 – 59 ปี

สิ่ง​ต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเป็นอันดับแรกๆ มักได้แก่ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ไขมันที่เริ่มพอกพูนโดยเฉพาะช่วงเอว โรคภัยไข้เจ็บ ความเสื่อมและถดถอย และสำหรับคุณผู้หญิงก็จะมีอาการอันไม่พึงประสงค์อื่นๆ เพิ่มเติมอีกเป็นหางว่าว เช่น ความรู้สึกร้อนวูบวาบจนนอนไม่หลับ ผิวหนังเหี่ยวคล้อยหย่อนยาน กระดูกพรุน ช่องคลอดแห้งและความต้องการทางเพศลดลง จิตใจซึมเศร้า หงุดหงิด และวิตกกังวล เป็นต้น

 

มีใครเคยลองสังเกตบ้างไหมคะ ว่าทัศนคติของผู้คนที่มีต่อ “วัย” หรือ “ความชรา” นั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความเชื่อและวัฒนธรรมของสังคมรอบตัวเรา เช่นในมุมมองของชาวตะวันตก จะมีเห็น “ความชราภาพ” ในวัยที่มากกว่าของสังคมไทย เช่น ในประเทศอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการเต้นแทงโก้ (ที่ UNESCO จัดให้เป็น “มรดกทางวัฒนธรรมอันจับต้องมิได้” หรือ intangible cultural heritage) จึงเป็นเรื่องปกติที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่อายุมาก จะยังคงไปร่วมงานเต้นแทงโก้อย่างสม่ำเสมอ (โดยที่ผู้หญิงมักแต่งหน้าแต่งตัวสวยงาม และสวมรองเท้าส้นสูง ส่วนผู้ชายมักใส่สูท) การเต้นรำสม่ำเสมอ ซึ่งเปรียบเสมือนการฝึกสมาธิ และการออกกำลังกายแบบโลว์อิมแพคไปในตัว ทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองชราภาพ และยังแลดูอ่อนกว่าวัย มีความกระฉับกระเฉง บวกความจำที่ดี

ในขณะที่ในสังคมไทยไม่มีวัฒนธรรมเช่นนี้  ผู้สูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหลายท่านอาจมีความรู้สึกแก่ และมีกิจกรรมเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถเข้าร่วมได้ เช่น ฝึกชี่กง รำกระบองจีน หรือร้องเพลง

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมไทย หากเปรียบเทียบระหว่างเพศหญิงและชาย จะเห็นได้ชัดว่าทัศนคติที่มีต่อเพศหญิงกับวัยที่สูงขึ้นนั้นนั้นแตกต่างไปจากเพศชายวัยเดียวกันมาก

ตัวอย่างเช่น  ผู้หญิงไทยจำนวนมาก เติบโตมาโดยมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเชื่อว่า เธอจะไม่ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้ามเมื่ออายุเลยสามสิบปีไปแล้ว (และยังมี คำล้อเลียนผู้หญิงที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ในสังคมไทย เช่น “ขี้นคาน” ที่มักใช้กับผู้หญิงโสดที่อายุเกินสามสิบอีกด้วย)  ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่มีในกลุ่มผู้ชาย ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายไทยที่อายุมากขึ้น มักมีหน้าที่การงานรวมถึงฐานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้น จึงมักได้รับการยกย่องรวมไปถึงความสนใจจากเพศตรงข้ามมากขึ้น

 

ทว่า ดิฉันอยากให้คุณผู้อ่านลองลบความเชื่อและทัศนคติเดิมๆ ทิ้งไป และเริ่มปลูกฝังความเชื่อใหม่ว่า อายุที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมาพร้อมกับความเสื่อมหรือถดถอย และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทั้งนี้ สมรรถภาพของคุณจะขึ้นอยู่กับสมดุลทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เรียกได้ว่า เป็นการดูแลสุขภาพวัยทองอย่างองค์รวมที่สุด โดยยึดหลักที่จะกล่าวต่อไปนี้

 

สมดุลแห่งกาย

 

เริ่มจากอาหารที่รับประทานก่อน เพราะอาหารทุกคำที่คุณรับประทานเข้าไป ในที่สุดแล้วจะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ หลักเบสิคที่สุดคือ ให้ทานอาหารธรรมชาติ (เกษตรอินทรีย์ถ้าหาได้) ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด ปราศจากการปรุงแต่งด้วยสีหรือสารเคมีอื่นๆ นอกจากนี้ หากคุณรับประทานเนื้อสัตว์ ควรคำนึงถึงแหล่งที่มาและวิธีการเลี้ยง นั่นคือ ควรเลือกสัตว์ที่ถูกเลี้ยงอย่างปล่อยให้เป็นอิสระตามธรรมชาติ และไม่ได้ถูกปนเปื้อนด้วยฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะต่างๆ

หากคุณมิได้ปรุงอาหารทานเอง ควรฝึกอ่านฉลากสินค้าให้เป็นนิสัย เนื่องจากในปัจจุบันนี้ ผู้ผลิตนิยมใส่สารเคมีนานาชนิดลงในผลิตภัณฑ์ ทั้งเพื่อยืดอายุสินค้า และเพื่อแต่งกลิ่นและรสชาติให้ถูกใจผู้บริโภค ผลลัพธ์ก็คือ ผู้บริโภคได้รับของแถมอันไม่พึงประสงค์จากผลิตภัณฑ์จำนวนมากในท้องตลาด ตั้งแต่ สารกันบูด ยาฆ่าแมลง ผงชูรส  น้ำตาลปริมาณมากเกิน และสารเคมีอีกหลากหลายที่ร่างกายไม่รู้จัก และเมื่อเกิดการสะสมเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้หลายระดับ ตั้งแต่ฮอร์โมนแปรปรวน ภาวะลำไส้รั่วซึม โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง โรคซึมเศร้า ภาวะสมองตื้อ และยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายอื่นๆ อีกหลายชนิดเช่น อัลไซเมอร์ หรือมะเร็ง ได้ด้วย

 

นอกจากอาหารที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งในที่นี้จะเรียกว่า “อาหารกาย” แล้ว อย่าลืมให้ความสำคัญกับคุณภาพของ “อาหารใจ” ที่ช่วยหล่อเลี้ยงและเติมเต็มเราอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่า ได้แก่ ความสัมพันธ์ (ทั้งกับคนรัก ครอบครัว ญาติมิตรหรือกระทั่งเพื่อนร่วมงาน) อาชีพการงาน กิจกรรมที่ชอบ และรวมไปถึงการออกกำลังกาย

 

สมดุลแห่งใจและอารมณ์

 

ข้อมูลเกี่ยวกับวัยทองโดยเฉพาะของคุณผู้หญิง มักไม่พ้นการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน (เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และเทสทอสเตอโรน)  แต่อย่าลืมว่ามีฮอร์โมนที่สำคัญและมักถูกมองข้ามอีกตัวหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและคุณภาพของชีวิตในทุกวัยรวมถึงวัยทองด้วย นั่นคือ ฮอร์โมนที่เกี่ยวพันความเครียดทั้งหลาย โดยเฉพาะ คอร์ติซอล ที่ถูกผลิตจากต่อมหมวกไต ที่แม้มีส่วนดีคือ ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวในช่วงเช้า ช่วยให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง แต่ปัญหาของคนปัจจุบันคือ มีความเครียดได้ง่ายและเกือบจะทุกที่ทุกเวลา (เพราะเราเสพข้อมูลและข่าวสารสารพัดตั้งแต่ลืมตาตื่นจนเข้านอน) ความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายก็จะหลั่งคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น แล้วก็จะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกหิว หรืออยากทานขนมหวานหรือขนมกรุบกรอบ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดก็จะพุ่งสูงขึ้น  ส่งผลต่อให้ร่างกายเก็บสะสมไขมันไว้เป็นพลังงาน   นั่นหมายความว่า ยิ่งเครียดมากเท่าไร คุณก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น  

 

นอกจากนี้ในร่างกายคนที่อดหลับอดนอนบ่อย ๆ ยังมีการหลั่งคอร์ติซอลมาก และหากระดับคอร์ติซอลสูงมาก ๆ เป็นเวลานาน แล้วปัญหาที่จะ ตามมาก็คือประสิทธิภาพในการทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ จะลดลง ยังไม่นับรวมถึงข้อเสียของระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดที่เกิดเป็นประจำ จะไปกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงของโรคร้ายอีกเป็นพรวน เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็ง

 

ทางแก้ที่ต้นเหตุคือ “การกำจัดความเครียด” เป็นอันดับแรก นอกจากนั้น หมั่นใส่ใจนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยคืนละ 7-8 ชั่วโมง เช่นงดดื่มกาแฟตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป หรือปิดโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนเวลานอน นอกจากนี้ให้หมั่นฝึกทำกิจกรรมที่ชอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อพัฒนาและสร้างอารมณ์บวก เช่นความรู้สึกขอบคุณ ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และความเบิกบานยินดี

สมดุลแห่งจิตวิญญาณ

 

ความสนใจด้านจิตวิญญาณมักมาพร้อมกับวัยอันสูงขึ้น คำว่า “จิตวิญญาณ” หรือ Spirituality อันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเรานั้น ไม่ได้จำกัดว่าต้องเกี่ยวกับพุทธศาสนา หรือศาสนาใดๆ เท่านั้น หากแต่ตัวคุณเองต่างหากที่สามารถให้คำจำกัดความตามแบบฉบับของคุณ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่เสาะหาความหมายของชีวิตตน และเมื่อพบจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกพึงพอใจและศรัทธาอย่างลึกซึ้ง ราวกับได้เจอสิ่งที่เฝ้าตามหามาแสนนาน

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสด้านนี้ ลองเริ่มจากการมองเห็นตนเองเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด และในเมื่อทุกๆ อย่างในธรรมชาตินั้นอยู่กันอย่างมีแบบแผน ราวกับว่าได้ถูกกำหนดและควบคุมโดยพลังงานอันยิ่งใหญ่  (และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละศาสนาหรือลัทธิความเชื่อ) เช่น เมื่อถึงเวลา ฤดูกาลก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไป  หรือทุกวัน พระอาทิตย์จะขึ้นยามเช้า และพระจันทร์ปรากฏในยามค่ำคืน เป็นเช่นนี้เรื่อยไป  ดังนั้นชีวิตของเราซึ่งเป็นส่วนเล็กมากๆ ส่วนหนึ่งของระบบนี้ ก็ย่อมต้องดำเนินไปด้วยดีและปราศจากข้อผิดพลาดเช่นเดียวกัน

 

ขอบคุณผู้เขียน

คุณสุชาวดี เฉลิมวงศาเวช หรือครูอุ้ม ผู้เป็นครูอัษฏางคโยคะชาวไทยคนแรกที่ได้รับใบอนุญาตจาก​ท่าน ศรีปัตตาภิ โชอิส ที่เมืองมัยซอร์ เมื่อ 2549  และยังได้จบหลักสูตรอบรมการโค้ชสุขภาพองค์รวมจากสถาบัน Institute for Integrative Nutrition ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ในปัจจุบันครูอุ้มนอกจากจะสอนโยคะทั้งในและต่างประเทศ ยังเป็นโค้ชสุขภาพที่มีลูกค้าจากทั่วโลก โดยยึดหลัก Bio-individuality นั่นคือร่างกายแต่ละคนนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง จึงควรเลือกอาหารและวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดในการบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพ หากผู้ใดสนใจสามารถรับข้อมูลที่ทันสมัยด้านสุขภาพจากครูอุ้มได้ที่เฟซบุ๊กเพจ

“อ้วนไป ทำไงดี by Health Guru ครูอุ้ม” (www.facebook.com/endoffatness/)

หรือนัดปรึกษา (ไม่มีค่าใช้จ่าย)​ ได้ทางเวบไซต์ www.iamhealthytoday.com

หรืออีเมล์ sasha@iamhealthytoday.com

latest articles

เข้าสู่ระบบ Asiawellness.com