สาระสำคัญที่สุดของการศึกษาราชาโยคะ คือการกลับคืนสู่ความรู้ที่เป็นสาระที่แท้จริงว่า ฉันคือใคร จากภาพ เราเห็นจุดแห่งแสง คือ ดวงวิญญาณ นี่คือ ‘ฉัน’ พลังงานที่มีชีวิต หรือ สิ่งมีชีวิต (Being) ที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายซึ่งเป็นพลังงานวัตถุที่ไม่มีชีวิต เป็นส่วนของร่างกายของฉัน เรียกว่ามนุษย์ (Human) เมื่อ ‘ฉัน’ และ ‘ของฉัน’ รวมรูปกัน นั่นคือ มนุษย์ที่มีชีวิต (Human Being) การเรียนรู้นี้นำเราไปสู่การมีโยคะเพื่อเชื่อมโยงกับตัวตนภายใน เป็นโยคะทางจิตที่อาศัยการเชื่อมโยงภายใน 3 ส่วนในดวงวิญญาณนั่นคือ 1.) จิตใจ ทำหน้าที่สร้างความคิด ความรู้สึก 2.) สติปัญญา ทำหน้าที่ แยกแยะ ตัดสิน ว่าสิ่งที่จิตใจคิดนั้น จะนำไปสู่การกระทำผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และ 3.) สันสการ์ หรือรอยกรรม ทำหน้าที่ในการเก็บบันทึกและแสดงออกในทุกสิ่งที่ดวงวิญญาณได้รับรู้ผ่านการกระทำ หรือแม้กระทั่งการสร้างความคิดที่ไม่ออกมาในรูปของการกระทำ หากสติปัญญาตัดสินแล้วภายในก็จะเก็บบันทึกไว้เป็นจิตใต้สำนึกหรือนิสัยด้วยเช่นกัน
เราเห็นวงจรของการทำงานของดวงวิญญาณแล้ว หากเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เราจำเป็นต้องเริ่มต้นที่จุดแรก คือ การทำให้สติปัญญามีพลังของความรู้ เพื่อมีผลในการเลือกความคิดที่จิตใจสร้าง และจิตใจจำเป็นต้องอาศัย ความสงบ ความสุข ความรัก ผ่านการฝึกจิต เราจะมีพลังความคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอ จนกระทั่งจิตใจและสติปัญญาทำงานในทิศทางเดียวกัน สิ่งนี้เรียกว่าพลังสมาธิ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสันสการ์ให้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ดั้งเดิมภายใน
สำหรับโครงการ Seeing into Being (การเห็นสู่การเป็น) ตอนนี้เราจะพาคุณเข้าไปสู่ความสงบเงียบเพื่อตระหนักรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงดั้งเดิมของคุณ นั่นคือการเป็นผู้ที่สงบมีสันติ หรือเราเรียกว่า โอม ชานติ โดยอาศัยเครื่องมือสำคัญ คือ จิตใจที่เงียบสงบ ที่จะเปิดเผยพลังของสัจจะเบื้องหน้าคุณ แล้วคุณจะสามารถสัมผัสกับปัญญาภายในได้มากเท่าที่คุณเข้าถึงสัจจะ ขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้ ขอให้คุณจดจ่อ ใช้สมาธิมากขึ้น ที่จะค่อยๆ เข้าใจเนื้อหาและเติมคำในช่องว่างที่หายไป บทความนี้จะนำพาคุณก้าวเข้าไปสู่ความเงียบภายในทีละก้าว
จิตใจที่เงียบสงบ The Silent Mind
จิตใจที่เงียบสงบคือจิตใจที่ได้กลับคืนสู่สาระ เหนือกว่าเพียง “เงียบ” หรือผ่อนคลาย เป็นจิตใจที่มีความสงบอย่างลึกล้ำในรูปที่เป็นจุดที่นิ่ง อิ่มเต็มในทุกสิ่ง ไม่มีความต้องการ หรือความจำเป็นใดๆเลย ไม่ถูกดึงดูดหรือดึงไปที่แห่งใดอื่น เป็นจิตใจที่___1___อย่างลึกล้ำจิตใจที่เงียบสงบมีการประหยัดโดยอัตโนมัติ ไม่สูญเสียพลังงาน หรือใช้ความคิดโดยไม่จำเป็น ความคิดที่ไร้สาระค่อยๆ ลดลงไป ทำให้เราไม่มีการสะสมพลังลบ ดังนั้นจิตใจที่เงียบสงบจะเพิ่มพลังบวกแก่ดวงวิญญาณ เพิ่มความสมดุลและความสอดคล้องกลมกลืน
ความเป็นหุ้นส่วน The Partnership
จิตใจที่เงียบสงบต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับกับสติปัญญาที่ดี – ที่เข้าใจและตระหนักรู้ ดังนั้นจึงสามารถกำหนดทิศทางให้จิตใจได้ จิตใจจะไม่สามารถกลับมาเงียบสงบได้เลยถ้าสติปัญญาไม่รอบรู้และสำนึกรู้: ช่วยเหลือตนเองได้ ไว้ใจตนเอง ปกครองตนเอง สติปัญญาเช่นนี้จะช่วยนำทางจิตใจกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมของตนเอง ถ้าเรากำลังเข้าไปสู่ความคิดไร้สาระโดยไม่จำเป็น เราสามารถตระหนักรู้ในสิ่งนี้ด้วยสติปัญญาที่ตื่นตัว สติปัญญาจะพูดกับจิตใจว่า “เวลานี้อย่าเข้าไปสู่การขยายตัว เวลานี้ฉันต้องการอยู่กับตัวฉันเองและพระเจ้า....
ทั้งสามทำงานด้วยกัน: จิตใจที่เงียบสงบ สติปัญญาที่เรียบง่าย และรอยกรรม (สันสการ์) ที่สูงส่ง ดั้งเดิม ของดวงวิญญาณ ความสงบและความรักเป็นพิมพ์เขียวดั้งเดิมของดวงวิญญาณ เมื่อสติปัญญาตื่นตัว จะนำทางให้จิตใจดึงความสงบและความรักมาจากสันสการ์ดั้งเดิมของความจริงอยู่ที่ว่าจิตใจนั้นจะดึงจากบางสิ่งบางอย่างเสมอ โดยอาจดึงมาจากนิสัยเก่าอิทธิพลภายนอก หรือ รอยประทับดั้งเดิม ประสบการณ์ส่วนใหญ่บอกว่า___2___ที่ผิดจะรุกรานเข้าสู่จิตใจเสมอ จิตใจที่เงียบสงบ เมื่อเป็นหุ้นส่วนกับสติปัญญาที่เรียบง่ายและสันสการ์ดั้งเดิมแล้ว จะช่วยปกป้องตนเองจากสิ่งนี้ สติปัญญารักษาตนเองไว้ในสาระ โดยพูดว่า “ เดี๋ยวก่อน อย่าคิดมากเกินไป เวลานี้เป็นเวลาของการสังเกตการณ์” หมายความว่า ไม่รอคอยให้เกิดความคิดอื่นตามมา ไม่มีการคิด เพียงการตระหนักรู้ พวกเราจำเป็นต้องกลายเป็นตัวแห่งสำนึกรู้ ไม่ใช่เป็นตัวคิด (ของความคิด) ในความเป็นจริงการได้สติปัญญามานำทางจิตใจมักเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำ นิสัยเก่าๆ ทำให้จิตใจมีเสียงดัง สับสนวุ่นวาย หมุนไปรอบๆ ___3___เป็นนิสัยที่แรงกล้า ผู้คนจินตนาการว่ายิ่งพวกเขาคิดถึงเกี่ยวกับบางสิ่งมากเพียงใด พวกเขาจะเข้าไปใกล้สัจจะมากเท่านั้น อย่างไรก็ตามในความจริงแท้จิตใจนิ่งเงียบมากเพียงใด จิตใจก็มองเห็นได้มากตามนั้น และสามารถเข้าไปใกล้สัจจะมากขึ้นอย่างแท้จริง ความคิดมากเกินไป แม้เกี่ยวกับสิ่งที่ดีจิตใจก็ไม่เงียบอีกต่อไป ดังนั้นจึงเป็นสติปัญญาที่ต้องเห็นสิ่งนั้นและช่วยจิตใจให้หยุด
การฝึกฝน The Practice
เพื่อที่จะทำให้จิตใจเงียบสงบ จงเข้าไปในความรู้สึกของ “ฉัน ดวงวิญญาณคงอยู่ตลอดไป” ทำสิ่งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาชั่วโมงเช้าตรู่ ก่อนที่จะเริ่มวันใหม่ของเรา และแล้วใช้เวลาเข้าไปสู่ความเป็นนิรันดรเช่นนี้ระหว่างวันด้วยเช่นกัน หยุด กลับมาจดจ่อมากจนกระทั่งความคิดไม่เร่ร่อนไปสู่สิ่งอื่นๆ ผลลัพธ์คือเราจะกลับมาเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ละวางมากขึ้น ไม่คิด ไม่พิพากษา ไม่ตัดสิน เพียงแต่สังเกตการณ์
เพื่อที่จะสร้างจิตใจที่เงียบสงบ เราต้องเข้าสู่ภายในที่ลึกล้ำ เชื่อมโยงกับความสงบภายในดั้งเดิมของตนหรือกับพระเจ้า และกลายเป็นผู้สังเกตการณ์ “ทำให้มั่นคง” นี้คือคุณประโยชน์หลักของจิตใจที่เงียบสงบ ที่ช่วยให้เรามั่นคงอยู่ในความคิดเดียวในหนึ่งวินาที อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน
แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นเรื่องของการฝึกฝน เพราะการฝึกฝนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำให้สติปัญญาแข็งแรง บ่อยครั้งเราสร้างอุปนิสัยส่วนตนที่ต้องการจะทำให้แข็งแกร่งในตนเอง เช่นอดกลั้น มั่นคง หรือเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ละวางมากขึ้น สิ่งนี้จะกระตุ้นการสะท้อนความคิด ซึ่งจะทำให้เครื่องมือใหม่ปรากฏขึ้นสำหรับการเพิ่มอุปนิสัยนั้น ถ้ามีเป้าหมายสำหรับอุปนิสัยใดโดยเฉพาะแล้ว การสะท้อนความคิดในสิ่งนั้นเป็นเวลา 2-3 วัน การตรวจสอบและการเปลี่ยนแปลงตนเองตามนั้นจะทำให้สติปัญญาแข็งแกร่ง เป็นเช่นการออกกำลังกาย: “กล้ามเนื้อ” ของสติปัญญาค่อยๆ แข็งแรงขึ้นด้วยการใช้
จงทำเป็นระยะๆ สร้างสมดุล “การสะท้อนความคิด” ด้วยการฝึกฝนสติปัญญา เงียบ และเรียบง่าย เพียงหยุด มีความสงบและเรียบง่าย ไม่สะท้อนกลับ ไม่วิเคราะห์ ฯลฯ หรือฝึกฝนเพียงการยอมรับฉากต่างๆ ในละครชีวิตหรืออุทิศตนต่อพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่สิ่งต่างๆอยู่เหนือการควบคุม แทนการหลุดหายไปในปฏิกิริยาของ “ทำไม” และ “อะไร”
พวกเราจำเป็นต้องเฝ้าและฝึกฝนตลอดวัน โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกท้าทาย เพราะนี่คือที่ๆ เราต้องการจิตใจที่เงียบสงบมากที่สุด เหล่านี้คือเวลาที่ท้าทาย และพวกเราไม่สามารถรู้ว่าเมื่อใดเราจะถูกท้าทายด้วยสิ่งที่ไม่ได้คาดว่าจะเกิด ดังนั้นถ้าเรายังคงไม่พอใจ เพราะตัวอย่างเช่น ลวดหนีบกระดาษในออฟฟิศวางไม่ถูกที่ เราจะสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่ใหญ่ได้อย่างไร? เราจะรับใช้ด้วยความสงบ ความปรารถนาดี ความเมตตาได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้เอง สถานการณ์ในชีวิตจึงมีความสำคัญ สถานการณ์เป็นโอกาสสุดท้ายของเราที่จะฝึกฝน การกลับคืนเข้าสู่ภายใน ทำให้มั่นคงและรับใช้ ความคิดที่มากเกินไปเกี่ยวกับอะไรก็ตามหมายถึงจิตใจไม่นิ่งเงียบ พวกเราจำเป็นต้องสามารถยืนอยู่ในใจกลาง(ตา)ของพายุ แต่ยัง___4___ได้เราจำเป็นต้องตรวจสอบสิ่งนี้ เราใช้เวลานานเพียงใดที่จะนำจิตใจเข้าสู่ความเงียบสงบ ด้วยการฝึกฝนความคิดที่มากเกินไปเริ่มต้นลดลง
คุณประโยชน์ The Benefits
จิตใจที่เงียบสงบมีประโยชน์ในทุกสถานการณ์ ในการฝึกจิต จิตใจที่เงียบสงบสามารถทำให้เรารู้สึกถึงดวงวิญญาณสูงสุดผู้เป็นพระเจ้า ความเป็นนิรันดรในการกระทำ จิตใจที่เงียบสงบ สร้างสภาพของผู้สังเกตการณ์ ช่วยให้เราละวาง ซึ่งทำให้เกิดความกระจ่างแจ้ง ให้___5___ ด้วยเหตุนั้น เราไม่ปล่อยให้อารมณ์หรือความคิด คำพูดที่มากเกินไปมาปกครองเราในระหว่างวัน ที่นี่เรามองเห็นความจำเป็นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนของสติปัญญาอย่างแท้จริง สติปัญญาที่ไม่มีสติปกครองโดยนิสัยนำไปสู่บุคลิกภาพที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ สติปัญญาที่ตื่นตัวจะทำงานเช่นเบรก/ห้ามล้อ จิตใจที่เงียบสงบช่วยให้เราผสมผสานความรู้เข้าสู่ชีวิตของเรา ดังนั้นจึงมีความผ่องแผ้วทางจิตวิญญาณมากขึ้น มีสำนึกการเป็นดวงวิญญาณมากขึ้น ความดีทางจิตวิญญาณในชีวิตของเรา
พวกเรามี___6___ ด้วยความอดกลั้น สร้างสรรค์ และถ่อมตน
จิตใจที่เงียบสงบเพาะหว่านเมล็ดของความคิดเห็นอย่างมีความสุข แต่แล้วก็สามารถปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย จิตใจที่เงียบสงบสามารถละทิ้งสิ่งต่างๆ ชั่วขณะ ไม่จดจ่อมากเกินไป หรือวางแผนมากเกินไป หวาดกลัว ไม่มั่นคงปลอดภัย มีการรู้สึกของตนเองไม่ดีพอ ทั้งหมดนี้บีบบังคับผู้คนให้พยายามมากเกินไป หรือพยายามในทางที่ผิด
จากจิตใจที่เงียบเงียบสงบนี่เอง ที่ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ และความปรารถนาดีปรากฏขึ้นจิตใจที่เงียบสงบสามารถทำให้เรารับใช้ช่วยเหลือด้วยจิตใจ จิตใจที่เงียบสงบสามารถทำงานรับใช้ได้เป็นอย่างดีและอุทิศตน พระเจ้าสามารถใช้จิตใจเช่นนี้ เรารู้สึกถึงสิ่งนี้ งานของพระเจ้าจะสำเร็จเสร็จสิ้นด้วยจิตใจที่เงียบสงบและสติปัญญาที่กระจ่างชัด
(คัดลอกจากบทความต่างๆ ของบราเตอร์ แอนโทนี สตราโน)
ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิ บราห์มา กุมารี ราชาโยคะ
กรุณาติดต่อ มูลนิธิฯ สำหรับการเรียนรู้ของจิตใจที่เงียบสงบ โทร 02-5738242, มือถือ 086-4486700